ประวัติบอนสีในไทย


  บอนสีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ แพร่หลายเข้ามาทางทวีปยุโรป อินเดีย จนถึงประเทศอินโดนีเซีย และคาดว่าแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยมากับเรือสำเภาของพ่อค้าจีน คือ Caladium schomburgkii (Andre') M.Madison หรือที่เรียกกันว่า ว่านโพธิ์ทอง หรือว่านพระอาทิตย์ เส้นใบสีชมพู และว่านโพธิ์เงินหรือว่านพระจันทร์ เส้นใบสีขาว เชื่อกันว่าหากใครปลูกเลี้ยงบอนสีทั้งสองต้นจะเป็นสิริมงคล เมตตามหานิยม และช่วยค้าขายดี
ว่านโพธิ์ทอง

ว่านโพธิ์เงิน


   บอนสีจึงเป็นที่นิยมและปลูกเลี้ยงกันเลื่อยมา ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีการปลูกเลี้ยงบอนสีหลายสายพันธุ์ เช่น พระยาเศวต วัวแดง ช้างเผือก ใบบัว จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์การปลูกเลี้ยงบอนสีก็ยิ่งมีความหลากหลายมากขึ้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปในปี 2440 และ พ.ศ. 2450 ทรงนำพรรณไม้จากต่างประเทศเข้ามาปลูกในประเทศหลายชนิด สำหรับบอนสีที่นำเข้ามาในปี พ.ศ. 2440 เป็นบอนสีประเภทใบไทย แต่เรียกกันว่า "บอนฝรั่ง" มีพื้นใบสีแดงเข้มและสีแดงอ่อน บางชนิดมีพร่าเหลือบสี เช่น แดงสรรพศาสตร์ แดงภาณุรังสี แดงสุริยัน ไก่อัมรินทร์ ไก่ราชาธิราช ไก่วสันต์ ฯลฯ ส่วนบอนสีที่นำเข้ามาในปี พ.ศ. 2450 เป็นบอนสีประเภทใบไทยเช่นกัน แต่มีความหลากหลายของสีสันมากขึ้น พื้นใบมีตั้งแต่สีแดงเข้ม สีแดงอ่อน สีชมพู สีชมพูอ่อน บางชนิดเป็นเหลือบสีเหลือง พื้นใบมีเม็ดสีขาว สีแดง หรือมีเม็ดสองสีปนกันและยังมีบอนป้ายที่มีแถบด่างพาดบนพื้นใบ ซึ่งถือว่าเป็นยุคเริ่มต้นของความนยมปลูกเลี้ยงบอนสีของไทย


       สมัยนั้นความนิยมปลูกเลี้ยงบอนสีอยู่ในกลุ่มขุนนาง ข้าราชบริพารเท่านั้น และเป็นการปลูกเลี้ยงแบบธรรมชาติ คือปล่อยให้บอนพักตัวในฤดูหนาว ใบเหี่ยวเฉา เหลือแต่หัวฝังจมใต้ดิน รอจนกว่าจะถึงฤดูฝน ใบเริ่มแตกขึ้นมาใหม่จึงเริ่มเลี้ยงกัน จนช่วงปี พ.ศ. 2472-2475 การปลูกบอนสีได้แพร่หลายไปสู่ประชาชนทั่วไปเริ่มจากบรรดาขุนนาง ข้าราชบริพารได้นำบอนสีไปถวายให้พระสงฆ์และบุคคลสำคัญที่สนิทสนมกัน แต่การปลูกเลี้ยงบอนสียังจำกัดเฉพาะในกลุ่มคนมีเงินละตามวัดวาอารามเท่านั้นเนื่องจากบอนสีมีราคาสูง เช่น บอนสี "นกยิบ" ที่มีราคา 10 ชั่ง เท่ากับ 800 บาท (มีมูลค่าเป็นแสนบาทในปัจจุบัน) และเรียกกันว่า "นกยิบสิบชั่ง"
         จากนั้นจึงเริ่มพัฒนาเทคนิคการปลูกเลี้ยงที่แตกต่างไปจกาเดิม เช่น มีการนำแก้วน้ำดื่มหรือแก้วครอบพระมาครอบต้นบอน บางรายก็นำเข้าตู้กระจกเพื่อป้องกันการพักตัวของบอน การผสมเกสรให้ติดเมล็ด ซึ่งทำให้มีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น และมีการนำต้นบอนสีมาแลกเปลี่ยนกันในหมู่ผู้ปลูกเลี้ยงมีการตั้งชื่อตามลักษณะใบและสีสัน แบ่งเป็นกลุ่มโดยเรียกชื่อว่า "ตับ" ตามละครในวรรณคดีบ้าง ชื่อจังหวัดบ้าง หรือชื่อบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์บ้าง จนมีการตวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่มของนักเล่นบอนสีซึ่งมีสถานที่ชุมนุม 5 แห่งได้แก่
           1. สนามบาร์ไก่ขาว ตั้งอยู่บริเวณร้านเมธาวลัยศรแดงในปัจจุบัน ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในอดีตมีการนัดชุมนุมเดือนละ 1 ครั้ง มีการจัดประกวดละตั้งชื่อจดทะเบียนบอนสีสายพันธุ์ใหม่ๆ ละแบ่งเป็นตับต่างๆ เช่น ตับพระอภัยมณี ตับขุนช้าง ตับนก สถานที่แห่งนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการเลี้ยงบอนสีในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก และยังการการรวบรวมลักษณะบอนสีที่ตั้งชื่อไว้แล้วจำนวน 160 ต้นเพื่อจัดพิมพ์เป็นเล่มอีกด้วย
           2. วัดอินทรวิหาร เทเวศร์ โดยจางวางหลุย วังบางขุนพรหม เป็นผู้ริเริ่มรวมกลุ่มผู้ปลูกเลี้ยงบอนสีขึ้น และมีการชุมนุมทุกวันเสาร์ต้นเดือน ซึ่งผู้ชนะการประกวดจะได้รับรางวัลเป็นปั้นน้ำชา
           3. บ้านเจ้าคุณทิพย์ ปากคลองบางลำพูบน โดยมีพระยาทิพย์โกษาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการพบปะกันทุกวันเสาร์-อาทิตย์ สามารถเข้าชมฟรี สำหรับผู้ส่งประกวดเสียค่าธรรมเนียมท่านละ 1 บาท
           4. วัดสระเกศ เป็นสำนักเลื่องชื่อ มีชมรมบอนสี 3 ชมรม โดยแยกเป็นหมู่คณะ ได้แก่ อาจารย์หรุ่น อาจารย์เป๋ หมวดเจิ่ง ทั้งหมดเป็นพระภิกษุ สถานที่แห่งนี้มีผู้นิยมไปชุมนุมมากที่สุดในยุคนั้นและเป็นเช่นนั้นมาถึง 10 ปี
           5. ร้านเสาวรส บางลำพู หลังห้างเสาวรส มีการจัดประกวดบอนสีอยู่เป็นประจำเมื่อในอดีต

           แม้ในช่วงเวลาที่่ผ่านมาบอนสีได้รับความนิยมอย่างมาก แต่เพียงไม่นานก็เงียบหายไป จนในปี พ.ศ.2508 มีผู้สั่งบอนใบยาวจากสหรัฐอเมริกามาปลูกเลี้ยงกันมากขึ้น และทดลองผสมพันธุ์ใหม่ๆ กันมากมาย บอนสีจึงได้รับความนิยมอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2520 ตลาดต้นไม้สนามหลวงก็มีผู้นำบอนสีแปลกใหม่มาจำหน่ายกันในราคาค่อนข้างสูงเช่น "นายโชติ" มีราคาสูงถึง 35,000 บาท จนเมื่อตลาดต้นไม้ย้ายไปที่ตลาดจตุจักร ส่งผลให้ความนิยมบอนสีลดลงอีกครั้ง แต่ด้วยความตั้งใจของผู้ปลูกเลี้ยงบอนสี พลตำรวจเอก พจน์ บุณยะจินดา และนักปลูกเลี้ยงหลายท่าน จึงร่วมกันจัดตั้ง  สมาคมบอนสีแห่งประเทศไทย ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2525 พร้อมกับดำรงตำแหน่งนายกสมาคม โดยมีจุดประสงค์ให้นักปลูกเลี้ยงบอนสีร่วมกันอนุรักษ์พันธุ์บอนสีที่เกิดจากฝีมือของคนไทยมาหลายชั่วอายุคนไม่ให้สูญพันธุ์ไป พร้อมกับพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ ให้มีมากขึ้น มีการจัดประกวดบอนสีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บอนสีมีความนิยมสูงสุดในช่วงวลานั้น และยังมีหนังสือบอนสีเกิดขึ้นหลายเล่ม
          จนถึงปัจจุบันสมาคมได้กีอตั้งขึ้นมานานถึง 30 ปีแล้ว แต่สมาชิกและนักปลูกเลี้ยงบอนสีทุกท่านก็ยังคงร่วมกันพัฒนาวงการให้กว้างขวางขึ้น มีการจัดประกวดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด เพื่อต้องการอนุรักษ์สายพันธุ์และความรู้ด้านการปลูกเลี้ยงบอนสีของคนไทยให้คงอยู่ตลอดไป อีกทั้งยังมีการปลูกประดับร่วมกับพรรณไม้อื่นในงานภูมิสถาปนิก มีการผลิตกล้าพันธุ์ การผลิตหัวพันธุ์บอนสีสำหรับส่งจำหน่ายต่างประเทศ และการปลูกเลี้ยงเพื่อผลิตเป็นไม้ตัดใบ กล่าวได้ว่า บอนสีมีการปรับปรุงพันธุ์อย่างต่อเนื่องจนได้สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในด้านไม้ประดับไม่น้อยไปกว่าไม้ประดับอื่นๆเลย
          ข้อมูลจากหนังสือ "บอนสี ราชินีแห่งไม้ใบ" โดยสมาคมบอนสีแห่งประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น